วันศุกร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2560

วิธีเก็บชาให้ดีไม่มีเชื้อรา วันนี้มีข้อแนะนำครับ

!! ช่วงนี้หน้าฝน !!!ระวัง !!!ชาขึ้นรานะครับ
ต้องป้องกันชาอันเป็นของรักด้วยนะครับ 
| ถุงซิปล็อก | ที่ผมให้ไปพร้อมกับชาผู่เอ๋อร์อย่าทิ้งนะครับ กันความชื้นได้ดีมากๆ
แต่ถ้าทำหายแนะนำใน | ซุปเปอร์ล็อก | ครับ 
ถ้าไม่มีที่ใหญ่พอ ก็แนะนำเป็นที่
| แรปอาหาร | มีขายใน7-11 ครับ ส่วนถ้ำชา ช่วงนี้ก็อย่าเปิดช่วงอากาศชื้นนะครับ หรือใครมี | กระป๋องชาเก่า | ก็ใช้ได้นะครับ ควรเก็นในห้องที่มีความชื้นต่ำกว่า 70% อุปกรณ์ ขายตามร้าน ทุกอย่าง 60 บาท ครับ 
พอดีช่วงนี้มีลูกค้าไปซื้อชามาจากแหล่งต่างๆแล้วเป็นเชื้อรา 3 ท่านแล้วก็เลยมาเตือนๆกันนะครับ เพราะเชื้อราถ้ามันเป็น 1 แผ่นแล้วจะติดกันต่อๆไป ดังนั้นควรแยก แต่ละแผ่นอยู่ใครอยู่มัน กันดีกว่าแก้นะครับ 
เก็บให้ชาไม่ขึ้นราอย่าไปกลัวชาไม่พัฒนานะครับ

| ถ้าชาผู่เอ๋อร์ ขึ้นราแล้วต้องทำยังไง |
1.ติดต่อร้านชาที่ท่านซื้อมา ว่าเปลี่ยนได้หรือไม่ 
2.ถ้าเจอให้แยกชาออกจากกันทุกแผ่นเพื่อป้องกันการติดต่อของเชื้อรา
3.ไม่นำชาไปตากแดดหรือความร้อนต่างๆเพราะไม่อาจคืนชีพชาผู่เอ๋อร์ของแสนรักของเราได้ 
4.ไม่สูดดมแผ่นโดยเด็ดขาด
5.ไม่เอามาทดลองชงดื่มนะครับ

สอบถามเพิ่มเติมได้นะครับ คุยสนุกๆ นะครับ 


ที่ไลน์ Line : @misterpuerh หรือ 088-792-8711




วันจันทร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ชาผูเอ๋อร์สุก คืออะไร ?

ชาผูเอ๋อร์ที่ใช้กระบวนการหมักด้วยเทคนิคพิเศษ เพื่อเร่งอายุใบชา เรียกว่า ชาสุก
ชาสุกจะใช้วัตถุดิบจากใบชาดิบที่ผ่านกระบวนการต่างๆมาเรียบร้อยแล้ว จึงนำมา
หมักบ่มในโรงหมักปลอดเชื้อซึ่งต้องควบคุมอุณหภูมิและความชื้นตลอด 24 ชม.
ระยะเวลาการหมักนี้จะใช้เวลาโดยประมาณไม่เกิน 90 วัน




หากย้อนไปในสมัยอดีตชาผู่เอ๋อร์มีเฉพาะแค่ชาดิบเท่านั้น การจะดื่มชาผู่เอ๋อร์ ที่รสชาติดีได้นั้น
จะต้องนำชาอัดก้อนไปเก็บไว้เป็นระยะเวลา นับสิบปีก่อนถึงจะนำมาดื่มซึ่งต้องใช้ความอดทนรอ
อย่างยาวนาน ซึ่งเทคนิคการหมักชาผู่เอ๋อร์ของโรงงานเมิ้งไห่เพิ่งจะคิดค้นได้ครั้งแรกในปี 1973
ถือเป็นการพลิกประวัติ์ศาสตร์วงการชาผูเอ๋อร์เป็นอย่างมากในสมัยนั้น และก็ได้มีการพัฒนาสูตร
การหมักชาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาคุณประโยชน์จากใบชาเอาไว้ให้ได้มากที่สุดอีกทั้งการหมัก
ชาที่ได้รสชาติที่หลากหลาย ทำให้ยี่ห้อต้าอี้มีผลิตภัณฑ์ชาสุก ส่งสู่ท้องตลาดชาเยอะมากที่สุด
ในปัจจุบันนี้


เทคโนโลยีการหมักหรือเร่งอายุใบชาโดยใช้เชื้อจุลินทรีย์เป็นตัวเข้าช่วยให้ชาสุกเร็วขึ้นนั้น ก็มี
ทั้งข้อดีและข้อเสียที่เกิดขึ้นระหว่างการหมัก ข้อดีที่เกิดขึ้นคือจะได้รสชาติที่นุ่มละมุน ดื่มง่าย
กลิ่นหอม สารคาเฟอีนและแทนนินจะถูกจุลินทรีย์ย่อยสลายไประหว่างกระบวนการหมักใบชา
จะมีสารบางชนิดที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของใบชา เพิ่มขึ้นมาระหว่างการหมักซึ่งสารหลาย
ชนิดที่เพิ่มขึ้นมาล้วนมีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ความดันโลหิต และช่วยลด
ระดับคลอเรสเตอรอลในเลือดได้ดี (อ่านต่อสารประกอบในชาสุก) ข้อเสียที่เกิดขึ้นคือรสชาติ
ที่ไม่สามารถเลียนแบบการหมักตัวตามธรรมชาติได้ หากเราเก็บชาดิบให้กลายเป็นชาสุกเอง
ตามธรรมชาติก็อาจจะใช้ระยะเวลานานนับสิบปี ซึ่งรสชาติของหมักตัวตามธรรมชาติของชาดิบ
นั้น ความหวาน ความหอม ความชุ่มคอจะมีมากกว่าชาสุกที่เร่งอายุอยู่มากนั้นเอง

ชาผูเอ๋อร์สุกเป็นชาที่เหมาะกับผู้ที่เริ่มต้นดื่มชาผูเอ๋อร์และผู้ที่ไม่เคยดื่มชา เพราะรสชาติจะนุ่มนวล ดื่มง่าย ด้วยเทคนิคพิเศษลับแบบฉบับต้าอี้
ทำให้การหมักชาได้รสชาติที่แตกต่างจากชาสุกยี่ห้ออื่น ๆ ซึ่งคนที่ไม่เคยดื่มชาผูเอ๋อร์ ถ้าหากลองดื่มครั้งแรกจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นไม่พึงประสงค์
(กลิ่นหมัก)ซึ่งทางต้าอี้เล็งเห็นว่าการขจัดกลิ่นหมักย่อมทำได้และทำให้คนที่ต้องการดื่มชาผู่เอ๋อร์เพื่อสุขภาพหันมาดื่มชาผู่เอ๋อร์กันได้ไม่ยาก

ชาสุกอุดมไปด้วยสารต่างๆที่ช่วยในด้าน ลดน้ำตาลในเลือด ลดคลอเรสเตอรอลในเลือด และลดความดันโลหิต ซึ่งหากจะต้องการดื่มเพื่อหวัง
ผลก็ต้องเคร่งครัดในการกิน ดื่ม การดื่มหลังอาหารจะได้ผลดีมากที่สุด ความเชื่อที่ผิดๆ ที่ว่าชงเข้มๆจะทำให้ได้ผลดี การที่เราชงเข้มซึ่งจะทำ
ให้ร่างกายของเราดูดซึมยาก และการที่เราดื่มที่ละมากๆในครั้งเดียวก็ไม่สู้ดื่มแต่น้อยค่อยๆจิบ ระดับการชงความเข้มข้นที่ดื่มดีที่สุด คือ สีของ
น้ำชาต้องสว่างสามารถส่องมองเห็นแสงทะลุไปอีกฝั่งนึงของแก้วได้ ควรดื่มขณะร้อนหรืออุ่น ไม่ควรแช่เย็นแล้วดื่มจะไม่เห็นผลตามต้องการ

ชาสุกหากเก็บรักษาไว้ในสถานที่เหมาะสมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการของใบชาไปในทางที่รสชาติดีขึ้นเพราะด้วยสูตรการหมักหลายระดับการหมักแบบอ่อนๆทำให้ยังคงลักษณะเด่นของชาดิบในเรื่องการพัฒนาด้านรสชาติต่อไปได้ หากเก็บไว้รสชาติจะหวานขึ้นชัดเจน คุณประโยชน์เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเราจะเก็บชาดิบหรือชาสุกล้วนได้รับการพัฒนาด้านรสชาติทั้งสิ้น



http://www.misterpuerh.com/article/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%8B%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%81-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3



วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559


วิธีการชงชาผูเอ๋อร์ อย่างง่ายๆ และ ได้มาตรฐาน


ชาผูเอ๋อร์ขั้นตอนการชงชาเหมือนชาอื่นๆ ทั่วไป ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิด แต่ขั้นตอนที่ยากนั้นจะอยู่ที่การ
แซะชาออกมาจากก้อนเพื่อชงดื่มนี่สิจะต้องออกแรงกันสักหน่อย บางทีเจอชาที่อัดมาเป็นทรงก้อนอิฐแข็งมาก
ก็คงต้องวิธีและเทคนิคเล็กๆน้อยๆ ซึ่งจะกล่าวในบทความนี้

- กรแซะชาออกจากแผ่น/ก้อน
ให้นำก้อนชาใส่ในภาชนะที่ขอบสูง หรือถาดรองแซะชา เพื่อง่ายต่อการตักหรือหยิบใบชาที่เราแซะออกมาแล้ว
นำมีดแซะชา หาไม่มีแนะนำส้อมชนิดหนา(หาง่ายสุด) ให้ทิ่มมีดแซะลงไปในเนื้อชาส่วนใดก็ได้โดยที่ทำองศา
75 จากพื้นผิวชาโดยประมาณและออกแรงกดเล็กน้อยให้มีดแซะเข้าไปในเนื้อชา 3-5 มิล โดยประมาณแล้วงัด
ขึ้นใบชาก็จะหลุดออกโดยง่าย     (หากก้อนชาแข็งมากต้องทิ่มมีดแซะในแนวดิ่งและออกแรงกดเต็มที่แล้วงัด)
 <เทคนิค>พยายามแซะให้ชายังคงรูปใบสวยงามถ้าทำได้เพราะจะชงออกมาได้รสชาติที่ดีกว่าเป็นเศษเล็กๆ
 <เทคนิค>ไม่ควรแซะชาจะหมดก้อนในคราวเดียวเพราะชาจะหยุดการพัฒนาด้านรสชาติ เว้นแต่ว่าจะใช้ชง
                  
ดื่มหมดภายใน 7-14 วัน
หลังจากแซะชาจนได้ปริมาณพอที่จะนำมาชงแล้วให้เก็บที่เหลือในภาชนะใส่ชาที่ทำจากดินเผาหรือที่อากาศ
ถ่ายเทได้ ถุงกระดาษ ถุงซิบ กระป๋องกระดาษ ไม่ควรปิดทึบแบบสูญญากาศหรือแช่ตู้เย็น

- วิธีชงด้วยกากดสะดวกชง  (ความยาก 1/5)
มาตราฐานการชงขอผูเอ๋อร์ต้าอี้จะอยู่ที่สัดส่วน 1:20 ในที่นี้คือ ชา 1 กรัมต่อภาชนะชง(ที่จะแช่น้ำชา) 20 cc
กากดขนาดไซส์เล็กของยี่ห้อต้าอี้ ที่ใส่ใบชาส่วนบนจะมีความจุ 120 cc ในที่นี้เราจึงใช้ใบชา ปรมาณ 6 กรัม
ใส่ใบชาไป และเติมน้ำร้อน 95-100 องศา ใส่พอท่วมใบชา แช่ทิ้งไว้ 3-5 วินาทีจึงกดน้ำให้ทิ้งลงไปด้านล่าง
และเทน้ำทิ้งน้ำแรกเราจะเป็นการปลุกชาหรือล้างใบชา หลังจากทำการล้างใบชาหรือปลุกใบชาเรียบร้อนแล้ว
ให้เติมน้ำร้อนอีกครั้งและแช่ทิ้งไว้ 10-15 วินาที และจึงกดปุ่มเพื่อให้น้ำชาลงด้านล่างและพร้อมดื่มได้ทันที
 <เทคนิค>ถ้าหากใบชาที่นำมาชงค่อนข้างร่วนให้ล้างทิ้งก่อน 1 ครั้ง แต่ถ้าเป็นก้อนแข็งให้ล้างทิ้ง 2 ครั้ง 
 <เทคนิค>ชาผู่เอ๋อร์เป็นชาที่ชงได้ทนไม่ต่ำกว่า 10 น้ำ ระยะเวลาการแช่ใบชามีผลแต่รสชาติอย่างมาก
 <เทคนิค>ไม่ควรแช่ใบชานานเกินกว่า 2 นาที จะทำให้สารแทนนินออกมาเกินความต้องการ (เฉพาะชาดิบ)


- วิธีชงด้วยก้ายหว่าน ถ้วยชงสไตล์จีน (ความยาก 4/5)
    มาตราฐานการชงขอผูเอ๋อร์ต้าอี้จะอยู่ที่สัดส่วน 1:20 เหมือนกับการชงโดยกากด แต่ชงโดยก้ายหว่านจะมี
เทคนิคเล็กน้อยระหว่างการชงซึ่งทำให้ชาที่เราชงขับรสชาติออกมาได้เต็มที่


- วิธีชงด้วยป้านชา กาดินเผา (ความยาก 4/5)
    มาตราฐานการชงขอผูเอ๋อร์ต้าอี้จะอยู่ที่สัดส่วน 1:25 เนื่องด้วยป้านดินจะให้ความร้อนที่สูงกว่าวัสดุชงชา
ชนิดอื่นทั่วไปทำให้ขับรสชาออกมาได้ดี แต่ก็จะมีข้อห้ามในการชงชาบางประเภทที่เป็นยอดอ่อนมากๆ


ข้อมูลจาก


วันพฤหัสบดีที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชาขาว อีกหนึ่งชาคุณค่าที่คุณต้องลองสักครั้ง

ชาขาว (White Tea)
นาน แสนนานมาแล้ว จักรพรรดิจีนแห่งราชวงศ์ Song ทรงพระเกษมสำราญอยู่กับรสชาติและกลิ่นหอมรื่นชื่นใจของ Silver Tip White Tea เครื่องดื่มมหัศจรรย์สูงค่านี้มีประสิทธิภาพในการขับไล่ความเหนื่อยอ่อน และให้ความสดชื่นรื่นเริงใจพร้อมทั้งกระตุ้นความเข้มแข็งให้กลับคืนมา หลายคนอ้างว่ามันเป็นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมสำคัญของน้ำอมฤตที่ดี่มแล้ว เป็นอมตะ
ในปัจจุบัน ชาชนิดนี้ รู้จักกันในชื่อของหยินเซน (เข็มเงิน) แหล่งผลิตปลูกกันกว้างขวางในประเทศจีน บนภูเขาสูงแห่งจังหวัดฟูเจี้ยน มันจะถูกเก็บเป็นเวลาสองสามวันสั้น ๆ ในแต่ละฤดูใบใม้ผลิเมื่อช่อสีขาวเพิ่งจะผลิออกมา เฉพาะใบที่อ่อนที่สุดที่ยังปกคลุมด้วยปุยขนอ่อนสีขาวเท่านั้นที่จะถูกเก็บ จะต้องเก็บเกี่ยวยอดอ่อนๆจากแต่ละต้นด้วยมือเปล่าถึง 80,000 ยอดจึงจะสามารถนำมาผลิตเป็นชากลิ่นหอมได้น้ำหนัก 1 ปอนด์ หลังจากนั้นใบชาจะถูกนำไปตากแห้งในแสงอาทิตย์ธรรมชาติ ขั้นตอนง่ายๆ ดังกล่าวนี้เป็นสิ่งที่ทำให้ White Tea แตกต่างจากชาประเภทอื่น และยังเป็นการรักษาคุณประโยชน์นานาประการมิให้
สลายไปกับกรรมวิธีของมนุษย์

ประโยชน์
ใน ปัจจุบันนี้ สารเคมีธรรมชาติที่เรียกว่า Polyphenols เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นแอนติออกซิเดนท์เข้มข้น สารเคมีธรรมชาติที่ทรงพลังนี้จะช่วยพัฒนากระบวนการป้องกันสารพิษในร่างกาย และยับยั้งอนุมูลอิสระที่มีปฏิกิริยาต่อต้านร่างกายPolyphenols พบกันทั่วไปในชาหลายประเภทรวมทั้งชาเขียว แต่จากขั้นตอนการปรุงชาที่ต้องทำให้ชาแห้งและผ่านขั้นตอนการให้ความร้อน ทำให้ Polyphenols จำนวนมากสูญสลายไป แต่ Polyphenols ยังคงมีอยู่ใน White Tea ด้วยเหตุผลสองประการ
1. White Tea มาจากช่อใหม่ของต้นชาซึ่งมีพลังงานอยู่ในระดับศักยะภาพสูงสุด
2. หลังจากการเก็บใบชา White Tea จะไม่มีการม้วนหรือให้หมัก แต่จะปล่อยให้แห้งไปเองโดยแสงอาทิตย์ตามธรรมชาติ นักวิจัยคาดการณ์ว่าขั้นตอนที่กระชับที่สุดเหล่านี้เองที่ช่วยรักษาให้ White Tea มีความบริสุทธิ์กว่าและอยู่ในสภาวะมีพลังงานมากกว่า White Tea มีคุณค่าของแอนติออกซิเดนท์มากกว่าชาเขียวถึงสามเท่า White Tea ยังป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระในร่างกายมากกว่าชาเขียวถึงสิบเท่า และความสามารถในการปกป้องผิวก็ยิ่งสูงกว่าด้วยเช่นกัน
การชงและการเสิร์ฟ
เมื่อ ต้องการจะดื่มชาให้ตักใบชาใส่ช้อนจำนวนสองช้อนโต๊ะ แต่ละช้อนจะมีปริมาณชาพอที่ชงใส่ถ้วยขนาด 8 ออนซ์ จากนั้นนำไปใส่เครื่องกรอง ให้กรองประมาณ 4-5 นาทีผ่านน้ำร้อนสะอาดที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเดือด Silver Tip White Tea มีรสชาติในตัวอยู่แล้วซึ่งไม่จำเป็นต้องเติมน้ำตาล นม หรือมะนาว แต่อย่างใด ชาที่มีราคาสูงนี้มีแอนติออกซิเดนท์ปริมาณมากอยู่แล้วโดยธรรมชาติ และยังมีคาเฟอีนต่ำอีกด้วย

ปัจจุบันนี้คนไทยเรามีการนิยมดื่มชากัน มากขึ้นเพราะเชื่อว่า จะเป็นผลดี และเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ จนกระทั่งมีผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับชาหลายชนิดให้เลือกจนเลือกกันไม่ถูก ทั้งที่เป็นเครื่องดื่ม หรือการนำชาเขียวเป็นส่วนผสมใส่ในอาหารต่างๆ เช่น เค้ก ไอศกรีมชาเขียว นมชาเขียว ขนมปังชาเขียว หรือแม้แต่ในเครื่องสำอาง วันนี้เราลองมาดูกันเกี่ยวกับเรื่องชาว่าเป็นอย่างไรกัน ชาวจีนเป็นชนชาติแรกที่มีการดื่มชากันและต่อมาก็มีการแพร่หลายไปสู่ประเทศ ทางตะวันตกมากขึ้น และมีประวัติศาสตร์บางส่วนที่ชาทำให้เกิดสงครามขึ้นระหว่างจีนกับอังกฤษ และสงครามอิสระภาพระหว่างอังกฤษ และอเมริกา

ชาทุกชนิดจะทำมาจากต้น ชาที่มีชื่อว่า Camellia sinensis ส่วนชื่อที่เรียกต่างกันนั้นเนื่องจากขบวนการผลิตภัณฑ์ใบชาที่ต่างกัน การทำชาเขียว (green tea) นั้นจะเอาใบชามาอบ (steam) และทำให้แห้ง (dry) ซึ่งเป็นขบวนการที่ยังทำให้ใบชามีสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) พวก โพลีฟีนอลส์ (polyphenols) อยู่ ส่วนชาดำ (black tea) นั้นจะผ่านขบวนการอ็อกซิเดชั่น (oxidation) ต่อไปทำให้มีการลดลงของสารต้านอนุมูลอิสระ ส่วนชาอูหลง (Oolong) จะผ่านขบวนการผลิตที่อยู่ระหว่างชาเขียว และชาดำทำให้รสชาติ กลิ่น สารต้านอนุมูลอิสระอยู่ระหว่างชาเขียว และชาดำด้วย ส่วนชาขาว (white tea) นั้นผลิตจากประเทศจีน ที่มีขบวนการผลิตที่น้อยลงทำให้มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าชาเขียว เวลาชงจะได้สีออกจางๆ และรสชาติที่นุ่มนวล ส่วนที่ได้ยินคำว่า “ชาแดง” (red tea) นั้นก็มีความหมายหลายอย่างเหมือนกัน เป็นภาษาที่มาจากภาษาจีน ซึ่งตรงกับความหมายทางตะวันตกว่า ชาดำ (black tea) หมายถึง ชาอูหลง ดังที่ผมกล่าวข้างต้น หมายถึง “ชา” ที่ได้จากพืช Aspalanthus linearis ในอเมริกาตอนใต้ ซึ่งจะเห็นว่าจริงๆ แล้วไม่ใช่ชาเพราะชาที่แท้จริง (real tea) ต้องได้จากพืช Camellia sinesis ซึ่งชาแดงชนิดนี้จะไม่มีคาเฟอีนและ แทนนิน (tannins) ปัจจุบันมีคนพยายามอ้างว่าเป็นน้ำดื่มสุขภาพ (health beverage) แต่ยังมีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับชาเขียว

มีสารอะไรบ้างในชา
สาร คาเฟอีน (caffeine) สารตัวนี้เป็นที่ถกเถียงกันในวงการแพทย์ว่ามีประโยชน์ หรือ โทษกันแน่ แต่โดยทั่วไปยอมรับกันว่าถ้าดื่มไม่เกินวันละ 200 มิลลิกรัม ก็ไม่มีผลเสียอะไร ซึ่งในปริมาณนี้จะเท่ากับการดื่มกาแฟประมาณวันละ 2 ถ้วย (ถ้วยละประมาณ 8 ออนซ์) เท่ากับชาวันละประมาณ 5 ถ้วย (ใบชาจะมีคาเฟอีนประมาณ 30-40% ของกาแฟ) สารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของต่างๆ ตัวที่สำคัญคือ กลุ่มโพลีฟีนอลส์ (polyphenols) ที่เด่นๆ คือ epigallocatechin-3-gallate (EGCG หรือ catechins) ประโยชน์ของสารต้านอนุมูลอิสระนั้นมีมากมายตั้งแต่การป้องกันการเกิดโรค ต่างๆ จนถึงมะเร็ง สารแทนนิน (tannin) ซึ่งช่วยในการบรรเทาอาการท้องเสีย ควรต้มหรือแช่ชานานๆ เพื่อให้ได้สารแทนนิน แร่ธาตุอื่นๆ
เช่น ฟลูออไรด์ วิตามินเอ วิตามินบี 1 บี 2 และอื่นๆ อีกหลายชนิด

ใครบ้างที่ควรระวังในการดื่มชา
โดย ปกติแล้วถือว่าชาเป็นเครื่องดื่มที่มีความปลอดภัยสูง ยกเว้นในบางคนที่อาจโดนกระตุ้นด้วยสารคาเฟอีนง่าย (เช่นเดียวกับกาแฟ) ได้แก่ ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ ไทรอยด์ โรคกระเพาะ หรือคนที่นอนหลับยาก ก็ไม่ควรดื่มชา กาแฟ หลัง 18.00 (หรือ12.00) ด้วย สำหรับผมตอนนี้ได้เริ่มดื่มชาเขียวสลับกับกาแฟแล้ว (ยังไงก็ยังดื่มกาแฟอยู่เพราะกลิ่นหอมมากครับ) เดี๋ยวนี้เขามีมีชาเขียวขายเป็นแบบถุงเล็กๆ สำหรับแช่และราคาไม่แพงมากเหมือนสมัยก่อน ยกเว้นวันหยุดก็จะต้มชาเขียวดื่มเองบ้าง เพราะบางคนบอกว่าการดื่มชาก็คล้ายๆ กับดื่มไวน์ในใบชาแต่ชนิดแม้จะพันธุ์เดียวกันแต่ปลูกในที่ต่างกันหรือเก็บ เกี่ยวในฤดูกาลที่ต่างกันก็จะให้รสที่ต่างกันด้วย

…………………………………………………

ชาขาว (White Tea) ใช้เฉพาะยอดอ่อนของต้นชา เมื่อเด็ดมาแล้วก็จะนำไปทำให้แห้งโดยตากแดด เป็นที่รู้กันทั่วโลกว่าชาขาวมี 2 ประเภท คือ ซิลเวอร์ นีดเดิล (Silver Needle) หรือเข็มเงิน เป็นชาขาวที่ค่อนข้างหายาก ราคากิโลกรัมละอยู่ในหลักหมื่นบาท เพราะผลิตได้ยาก เนื่องจากแต่ละปีมีวันเก็บใบชาเพียง 2 วัน เป็นสองวันในเดือนพฤษภาคมของทุกปีที่ใบชายังห่อตัวอยู่ ถ้าเลยจากสองวันนี้ในฤดูกาลเก็บแล้วใบชาจะบาน ชาขาวประเภทที่สองคือ ไวท์ พีโอนี (White Peony) หรือโบตั๋นขาว เป็นชาขาวที่เกิดจากการที่ใบชา เข็มเงิน บานออกมา รสชาติใกล้เคียงกัน แต่รสชาติเข็มเงินค่อนข้างอ่อนกว่าไวท์ พีโอนี คุณธรรมรัตน์แนะนำให้ดื่มชาขาวในช่วงระหว่างอ่านหนังสือ หรือทำคอมพิวเตอร์ เพราะชาขาวมีคุณสมบัติช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อได้ดี ไม่แนะนำให้ดื่มคู่กับขนมหรืออาหาร เนื่องจากรสชาติชาขาวอ่อนละมุนมาก รสชาติอาหาร-ขนมจะกลบรสชาติชาขาวหมด อาจรู้สึกเหมือนดื่มน้ำร้อนเปล่าๆ

ขอขอบคุณ
http://bangkokbiznews.com/jud/taste/20070701/news.php?news=column_23499745.html


Reference www.Facebook.com/mr.puerh
           

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ชาผูเอ๋อร์ 7632

ชาผูเอ๋อร์ 7632

หมวดหมู่ชาผูเอ๋อร์สุก (Ripe Tea)
ราคาปกติ1,350.00 บาท
ลดเหลือ1,290.00 บาท
สถานะสินค้าพร้อมส่ง

ขนาด 357 กรัม

วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2557


ชาผูเอ๋อร์ เว้ยจุ้ยเหยียน




หมวดหมู่ชาผูเอ๋อร์สุก (Ripe Tea)
ราคาปกติ1,280.00 บาท
ลดเหลือ1,250.00 บาท
ขนาด 257 กรัม